Nikko เที่ยวเมืองมรดกโลกแห่งญี่ปุ่น

          วันนี้เราจะได้นั่งชินคันเซ็น เพราะเรากำลังจะไปกันที่เมือง Nikko (นิกโก) การเดินทางก็เช่นเคย จับรถไฟชินคันเซ็นสายโทโฮคุ ลงที่สถานี JR Utsunomiya แล้วนั่งรถไฟ JR Nikko ไปที่เมืองได้ในทันที มีบัตร JR Kanto pass ไม่ต้องเสียอะไรเพิ่มอีกแล้ว ง่ายแสนง่าย ว่าแล้วก็ไปกันเลย

                Nikko เมืองมรดกโลกในหุบเขา ห่างจากโตเกียวกว่าสองชั่วโมง ไม่ผิดหวังที่ได้ไปเพราะมันดีมาก ทันทีที่ JR Nikko เคลื่อนตัวออกจากสถานี Utsunomiya จากตึกสูงค่อยๆกลายเป็นบ้านคน ทุ่งนา ภูเขา เป็นภาพที่สวยมาก ผู้คนที่นี่น่ารัก เมื่อเรามาถึง เราก็พบกับความคลาสสิคของสถานีรถไฟ สมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

โฉมหน้าของสถานี JR Nikko สมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ

ยินดีต้อนรับสู่ นิกโก้ เมืองมรดกโลก เยี่ยมชมมรดกโลกเชิญด้านนี้ค่ะ

                 ก่อนจะสำรวจเมืองนี้อย่างจริงจังเราต้องมีอาวุธก่อน อาวุธของเราก็คือ บัตรโดยสารไม่จำกัดเที่ยวนั่นเอง ราคา 500 เยนตาสามารถนั่งรถบัสเพื่อชมโซนมรดกโลกได้ไม่จำกัด ที่นี่มีบัตรพาสหลายประเภทเลือกได้ตามความเหมาะสมของการวางแผนเที่ยว พาสเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ที่สถานีรถไฟเลย ได้พาสแล้วก็ไปขึ้นรถกันเลยดีกว่าที่ที่เราจะไปคือโซนมรดกโลก

ออกซิเจนเต็มพิกัด ชีวิตสโลว์ไลฟ์ของจริง

                  ระหว่างทางมองไปทางไหนก็เจอแต่สีเขียว ธรรมชาติที่นี่ยังสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่งรถไปก็นึกอิจฉาคนที่นี่ขึ้นมาที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงออกซิเจน ระดับความสุขของพวกเขายังสูงมากพวกเขาต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยไมตรีจิตที่ดี เชื่อว่านอกจากประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมของที่นี่ รอยยิ้มของคนที่นี่ก็เป็นสิ่งที่เราจะไม่ลืมเช่นกัน

                มาถึงโซนมรดกโลก ทีแรกตั้งใจว่าจะซื้อ Pass เพื่อเข้าชมทั้งหมดแต่เมื่อมาถึงก็พบว่า โซนมรดกโลกปิดซ่อมทำให้passที่ตั้งใจจะซื้อไม่ขายแล้วเลยดูแต่ข้างนอก ที่แรกคือ วัดรินโนจิ วัดนี้เป็นวัดพุทธ แต่เพราะมันปิดซ่อมเลยตัดสินใจดูแค่ด้านนอกแทน ได้แต่หวังว่ามาคราวหน้ามันจะเสร็จแล้วนะ

 

หันหลังกลับไปถ่ายทางเข้าโซนมรดกโลกเสียหน่อย ถึง nikko จริงๆเสียที

ทางเข้าวัดรินโนจิ เสียดายที่เธอปิดซ่อม

               หวังว่าคราวหน้าจะได้เห็นความงามของเธอนะ ชื่นชมในความมิดชิดของการก่อสร้างของที่นี่จริงๆ  ถัดจากวัดรินโนจิเราก็เดินตามทางขึ้นมาเพื่อจะไปที่ศาลเจ้าโทโชกุ เช่นกันที่นี่เราก็จะชมแค่ด้านนอกเท่านั้น วันนี้มีกลุ่มเด็กนักเรียนตัวจ้อยมาทัศนศึกษากันหลายกลุ่ม สิ่งที่สังเกตได้คือความเป็นระเบียบวินัยของเด็กที่นี่ ทุกคนเดินกันอย่างเป็นระเบียบไม่แตกแถว และตั้งใจฟังสิ่งที่ครูของพวกเขาบอกอย่างเต็มที่

 

ระหว่างทาง

               ศาลเจ้าโทโชกุนั้นมีสิ่งที่น่าสนใจและเป็นเอลักษณ์ที่คนให้ความสนใจกันก็คือ ลิงสามตัว ปิดหู (มิซะรุ) , ปิดปาก (อิวะซะรุ) และปิดตา (คิกะซะรุ) ซึ่งมีความหมายตามหลักคำสอนของนิกายเทนไดว่า หากเราไม่มอง ไม่ฟังและไม่พูดในสิ่งเลวร้าย เภทภัยก็จะไม่ย่างกรายมาสู่ตัวเรา ปริศนาลิงสามตัวนี้อยู่ทางด้านในของศาลเจ้า ดังนั้นหากใครสนใจเข้าไปดูต้องซื้อบัตรจากด้านนอกก่อน เราไม่มีบัตรเราจึงได้ชื่นชมศาลเจ้าจากภายนอกเท่านั้น

ด้านนอกก็สวยนะ สงบด้วย

                ระหว่างที่กำลังมองซ้ายขวาเพื่อเก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด ตาพลันเหลือบไปเห็นซุ้มหนึ่งที่มีผู้ชายใส่ผ้าคลุมเหมือนเป็นเชฟ มันคืออะไรนะ ไวเท่าความคิดคือขาทั้งสองข้างก้าวเข้าไปและพบว่ามันคือร้านขายไดฟุกุ มากมายหลากหลายรสชาตให้เราเลือก และเราก็สะดุดตากับไดฟูกุอันหนึ่ง ราคาอันละ 300 เยนเท่านั้นแถมสามารถซื้อแยกหนึ่งอันได้ด้วย ไหนๆก็ไหนๆ ขอลองหน่อยซิ

                   ไดฟูกุ bamboo charcoal with sesame jam ถือเป็นสูตร traditional ของNikko แป้งนุ่มมาก ไส้เยอะสัมผัสได้ถึงคำว่าไส้งาดำ มีหลายรสแต่รสนี้ 10 10 10 กัดเข้าไปคำแรกก็รับรู้ถึงงาดำที่อัดแน่นมากชนิดที่ว่าไม่รู้สึกว่าถูกผู้ผลิตเอาเปรียบเลย ในส่วนของแป้งนั้นต้องบอกเลยว่านุ่มมาก ไม่เหนียวและไม่เละจนเกินไป ยิ่งได้เห็นกรรมวิธีการทำยิ่งน่ากิน ใจจริงอยากจะซื้อกับบ้านมากแต่ก็ยังอยู่อีกหลายวันเกรงว่าจะเก็บได้ไม่นานเลยขอดื่มด่ำความอร่อยเสียตรงนั้นเลย ไม่ผิดหวังจริงๆ

มีหลายรสให้ได้เลือก traditional ของ Nikko มาวางขายถึงที่เลย

                   เติมพลังเล็กน้อยก่อนจะเดินทางกันต่อ ต่อไปนี้จะเป็นการเดินเท้าเพื่อสำรวจโซนนี้ให้ครบ จะว่าไปทุกที่สามารถเดินหากันได้โดยที่ไม่ต้องใช้รถบัส ยิ่งอากาศดีๆไม่ถึงยี่สิบแบบนี้ยิ่งทำให้การเดินสบายมากขึ้น จุดหมายต่อไปของเราคือ ศาลเจ้าฟุตะระซัง ศาลเจ้านี้สามารถเข้าได้ฟรีและเป็นหนึ่งในมรดกโลกด้วย ระหว่างทางที่เดินพบเพื่อนร่วมทางจากหลากหลายชาติ ใช้เวลาเดินทางจากศาลเจ้าโทโชกุไม่นานนักเราก็เจอกับป้ายสถานีของศาลเจ้าฟุตะระซัง

 

ระหว่างทางก็สำคัญพอๆกับปลายทาง ป้ายสถานีบอกทางว่าท่านมาถึงศาลเจ้าฟุตะระซังแล้วนะคะ

ด้านหน้าศาลเจ้า ฝนเริ่มตกปรอยๆ

ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่น ก่อนจะเข้าศาลเจ้าต้องทำการชำระร่างกายก่อน

                    ภายในศาลเจ้าค่อนข้างจะครึกครื้นเพราะมีกลุ่มเด็กๆที่มาทัศนศึกษาและกลุ่มคุณป้าที่มาขอพรจึงไม่เหงาเท่าไหร่นัก เพราะด้วยบรรยากาศท่ามกลางหุบเขาที่ฝนตกปรอยๆแบบนี้ ถ้ามีแค่คนเดียวก็คงจะขนลุกพอสมควร โบนัสของวันนี้คือแฟชั่นร่มสีสันสดใสของคนญี่ปุ่น เมื่อตัดกับสีเขียวที่เป็นพื้นหลังยิ่งน่ามองและสร้างให้บรรยากาศสนุกสนานขึ้นมาทันที

อีกด้านของศาลเจ้า ศาลาอีกหลังที่ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับว่าคืออะไร

มันคืออะไรหนอ ?

ตัวศาลเจ้า ด้านในห้ามถ่ายรูป สีแดงของศาลตัดกับสีเขียวได้อย่างดี นี่สินะเสน่ห์ของมรดกโลก

Futarasan Jinja
Futarasan Jinja

อีกหนึ่งทางออกและทางเข้าของศาลเจ้า

                  ออกจากศาลเจ้าแล้ว จุดหมายต่อไปถือเป็นซิกเนเจอร์ของนิกโก้เลยก็ว่าได้นั่นก็คือ สะพานชินเคียว สะพานที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น ใครที่มาที่นิกโกต้องมาที่สะพานแห่งนี้ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามาไม่ถึง เราจึงต้องนั่งรถบัสเพื่อย้อนกลับไป ระหว่างทางบนรถบัสเราก็ยังได้เห็นพื้นที่สีเขียวอยู่ตลอดเวลารู้สึกตัวเองโชคดีที่ตัดสินใจจะมาเที่ยวที่นี่เพราะเหมือนได้พักสายตาและพักอยู่ตลอดเวลา เป็นเมืองที่น่ารักและเงียบสงบเหมาะแก่การใช้ชีวิตบั้นปลายมาก

                ภาพถ่ายจากรถบัส อยากเห็นถนนแบบนี้ทุกวันคงจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมิใช่น้อย

ภาพถ่ายจากรถบัส แดงๆข้างหน้านั่นคือสะพานชินเคียว

                     เมื่อรถบัสจอดเทียบท่าเราก็ได้เจอกับคนจำนวนหนึ่งกำลังต่อแถว ชัดเจนนี่คือสะพานชินเคียวแน่นอน จริงๆแล้วสะพานชินเคียวสามารถถ่ายรูปได้ฟรี แต่ถ้าต้องการจะถ่ายรูปบนสะพานจะต้องเสียค่าเข้าชมต่างหาก ดังนั้นการถ่ายรูปด้านนอกจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเรา เพราะเพียงแค่ด้านนอกเราก็เห็นทั้งสะพานได้ชัดเจนและวิวไม่แตกต่างกันเท่าไหร่

พระเอกของเราในวันนี้ เขาอยู่อย่างสง่าน่าชักภาพด้วยยิ่งนัก

จากสะพานชินเคียวสามารถเดินชมเมืองมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงสถานีรถไฟ เมืองนี้ยิ่งได้เห็นยิ่งมีเสน่ห์ มันคือความน่ารักท่ามกลางขุนเขา บ้านเมืองที่นี่เรียกได้ว่าเป็นแบบมินิมอล ไม่มีบ้านไหนสูงเกินสามชั้น ทำให้เราสามารถมองเห็นขอบฟ้าได้ไกลขึ้นและชัดขึ้นโดยที่ไม่มีสิ่งใดมาบดบัง

สบายๆสไตล์นิกโก อากาศดีๆกับบรรยากาศดีๆส่งผลมาถึงระดับความสุขในเส้นเลือด

ถ้ามีบ้านแบบนี้ที่มองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขาคงจะดีไม่ใช่น้อย ใครว่าชีวิตในเมืองมีความสุขนี่เถียงขาดใจ

ชอบเป็นพิเศษ ความเก่าที่เล่าเรื่องอยู่ในโลกใหม่ มีมนต์ขลังที่ชวนให้มองและติดตาม

                ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ไม่ทำให้นักท่องเที่ยวผิดหวังเลยแม้แต่น้อย อยากทำงานที่นี่จัง บรรยากาศทำให้ใจเป็นสุข

               เดินตามทางมาเรื่อยๆก็จะพบกับสถานีรถไฟ Tobu Nikko ซึ่งเป็นสถานีรถไฟอีกเจ้าหนึ่งที่ให้บริการในญี่ปุ่น ทั้งสองสถานีอยู่ไม่ห่างกันมากสามารถเดินหากันได้ แต่ทั้งสองมีความเหมือนกันคือคุมคอนเซปต์ของสถานีรถไฟแห่งมรดกโลกได้ดี นี่คือโฉมหน้าของสถานี Tobu Nikko

            แถวสถานีรถไฟมีร้านรวงต่างๆมากมายทั้งร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร ก่อนที่จะบอกลาเมืองนี้ขอลองไอศกรีมรสชาเขียวที่บอกว่าเป็นสูตรเฉพาะของนิกโก 500 เยนเท่านั้นตามเรทราคาทั่วไป

 

คุ้มมาก สมกับคำว่ารสชาเขียว เป็นชาเขียวที่ไม่หวานและไม่ขมเกินไปลงตัวกำลังพอดี เนื้อไอศกรีมแน่นแบบไม่ขี้โกงผู้บริโภคเลย คือความดีงามที่เลอค่า ใส่ใจความอร่อยแม้กระทั่งโคนที่ไม่ใช่โคนไก่กาแต่รสชาตของโคนก็อร่อยเข้ากับไอศกรีมได้ดี ถึงกับต้องขอสอง อะไรดีก็แนะนำว่าดีค่ะ

              หมดโคนก็ได้เวลาที่เราจะต้องกลับโตเกียวแล้ว เมืองนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่จะอยู่ในความทรงจำแม้ว่าจะได้ชมแค่ในส่วนที่เข้าฟรีแต่ก็คุ้มมากถ้าเทียบกับออกซิเจนที่ได้มา ถึงวันนี้ฝนจะตก ลมแรงและหนาวมากแต่ก็สู้ตายถ้ามาอีกได้จะมาคราวนี้คงค้างคืนและเอาให้ทั่วกว่านี้อีก ยอมรับว่าจริงๆเที่ยวนิกโกครึ่งวันก็ได้แต่กลับนั่งรถบัสวนไปวนมาหลายรอบ เดินเที่ยวเมืองแล้วก็ยังไม่อิ่ม อยากเห็นทุกอย่าง

              จริงๆแล้วนิกโกยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายนอกจากโซนมรดกโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบซูเซนจิที่ขึ้นชื่อเรื่องความสงบเงียบหรือน้ำตกริวซู หวังว่าโอกาสหน้าจะได้สำรวจนิกโกหมดทุกตารางนิ้วเสียที โบนัสอีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวที่นี่คือ การได้เพื่อนใหม่จากอิตาลีสองคน เราเจอกันที่สถานีรถไฟก่อนจะพบกันอีกทีที่มรดกโลก ทั้งสองคนใจดีมากสอนภาษาให้ด้วย Gracias

ภาพถ่ายระหว่างทางรถไฟกลับสู่ตัวเมืองความรู้สึกต่างกับตอนมาโดยสิ้นเชิง จากทุ่งนา บ้านคน ต้นไม้ค่อยๆกลายเป็นตึกสูง นั่นแสดงว่าเรากำลังจะกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงในไม่ช้า แล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้านะนิกโก

               การเดินทางของเราวันนี้ยังไม่จบ เพราะเราจะแวะไปที่เมือง Utsunomiya ที่ขึ้นชื่อเรื่องเกี๊ยวซ่าที่อร่อยมาก เมืองนี้เราจะต้องลงเพื่อจับชินคันเซ็นเข้าสู่โตเกียวอยู่แล้ว เมื่อถึงสถานีก็เดินออกมาพบกับเมืองใหญ่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก เดินเข้าห้างห้างหนึ่งที่จำชื่อไม่ได้แล้วเพราะมีคนการันตีมาว่าเกี๊ยวซ่าที่นี่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็อร่อยทั้งนั้น เจอเข้ากับร้านร้านหนึ่งก็เข้าไปเลยเพราะกลิ่นมันหอมยวนใจไม่ไหวแล้ว ร้านนี้ลูกค้าไม่เยอะมากแต่เมนูน่าสนใจมาก จึงได้สั่งเกี๊ยวซ่าชีสมาลองดูว่าจะเป็นยังไง สมคำร่ำลือหรือเปล่า ไม่นานนักเกี๊ยวซ่าหกชิ้นร้อนๆที่นอนแน่นิ่งอยู่ในจานก็มาอยู่ตรงหน้าเรา

6 ชิ้น 500 เยน อื้อหือ กลิ่นหอมมาก

                  กัดเข้าไปคำแรก ชีสเน้นๆ สมกับเป็นเกี๊ยวซ่าชีสจริงๆ มากไปกว่านั้นหมูที่หมักกับเครื่องเทศมาอย่างดีสามารถเข้ากับชีสได้อย่างเหลือเชื่อ แทบจะไม่ต้องจิ้มโชยุเลยทีเดียว ในส่วนของแป้งนั้น บอกได้คำเดียวว่ากรอบดีมาก เป็นเกี๊ยวซ่าที่กรอบนอกนุ่มในที่สุด ไส้อัดแน่นอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไม่อวยเกินจริงแต่เพราะมันเป็นอย่างนี้จริงๆ สมคำร่ำลือที่ว่าเป็นเมืองแห่งเกี๊ยวซ่าจริงๆ และยิ่งตอกย้ำไปอีกว่ากินที่ญี่ปุ่นไม่มีทางโดนเอาเปรียบแน่นอน  ไม่ผิดหวังจริงๆ ดีมากถึงมากที่สุด สมราคาที่สุด

               สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากบอกว่า สัญญาว่าจะมาใหม่ จริงจริงนะ ลาไปด้วยภาพบรรยากาศของเมือง Utsunimiya ดีกว่า

– เจอกันใหม่นะ Nikko-

By  ลาแนจ

สงวนลิขสิทธิ์ห้ามนำภาพถ่ายและบทความไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด

Facebook Comments Box

Related Articles